ประวัติการ์ตูนโคนัน
นักเรียนมัธยมปลายวัย 17 ปีคนหนึ่ง ชื่อคุโด้ ชินอิจิ มีทักษะพิเศษในการไขคดีจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วญี่ปุ่น จนได้รับขนานนามว่า เชอร์ล็อก โฮล์มส์แห่งยุคเฮเซ วันหนึ่งเขาได้ไปเที่ยวกับเพื่อนสมัยเด็กที่ชื่อ โมริ รัน ที่สวนสนุกทรอปิคอลแลนด์ และได้ไขคดีการฆาตกรรมบนรถไฟเหาะ ระหว่างทางกลับบ้าน ชินอิจิได้ไปเห็นชายสวมชุดดำ วอดก้ากำลังเจรจาแลกของต้องสงสัย แต่หารู้ไม่ว่ามีชายชุดดำอีกคน ยิน แอบอยู่ด้านหลังอยู่ ชินอิจิจึงถูกตีหัวและถูกจับกรอกยาพิษที่องค์กรของพวกเขาสร้างขึ้น นั่นก็คือยา APTX4869 ที่จะทำให้ผู้รับยาเสียชีวิตโดยไม่มีร่องรอยของยาพิษหลงเหลืออยู่เลย แต่ยากลับผิดพลาดเนื่องจากยังอยู่ในขั้นทดลอง จึงไม่ทำให้ชินอิจิเสียชีวิต แต่กลับทำให้ร่างกายหดเล็กลงกลายเป็นเด็กแทน และเพื่อจะสืบหาความจริงว่าคนพวกนั้นเป็นใคร และหายาแก้พิษเพื่อที่จะกลับคืนร่างเดิมอีกครั้ง ชินอิจิจึงกลับไปที่บ้านและไปปรึกษากับดร.อากาสะ ฮิโรชิ
เนื่องจากพ่อและแม่ของชินอิจิไปทำงานถาวรอยู่ต่างประเทศ ชินอิจิในร่างเด็กจึงไปปรึกษา ดร.อากาสะ ฮิโรชิ นักวิทยาศาสตร์ที่อาศัยอยู่ใกล้บ้านของชินอิจิ หลังจากที่รันกลับจากสวนสนุกทรอปิคอลแลนด์ ก็รีบมาหาชินอิจิที่บ้าน แต่ได้พบกับชินอิจิในร่างเด็กกับดร.อากาสะในห้องหนังสือ เมื่อรันถามชื่อชินอิจิ ชินอิจิจึงตอบไปว่า เอโดงาวะ โคนัน ซึ่งนำมาจากชื่อนักเขียนบนสันหนังสือข้างหลัง นั่นคือ เอโดงาวะ รัมโป และ อาร์เธอร์ โคนัน ดอยล์ ดร.อากาสะจึงแนะนำให้ชินอิจิไปอาศัยอยู่ที่สำนักงานนักสืบโมริ สำนักงานของโมริ โคโกโร่ พ่อของรันนั่นเอง เผื่อว่าจะมีข่าวคราวใดเกี่ยวกับพวกชายชุดดำ ที่พ่อของรันที่มีอาชีพเป็นนักสืบ โดยที่ไม่บอกความจริงกับใครว่าตนคือคุโด้ ชินอิจิ
เพื่อต้องการหาข่าวคราวของพวกชายชุดดำ โคนันจึงต้องให้โคโกโร่มีชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งจะทำให้มีผู้จ้างวานไปสืบคดีมากขึ้น และจะทำให้มีโอกาสที่จะได้เบาะแสขององค์กรชุดดำมากขึ้นเช่นกัน โดยใช้อุปกรณ์หลักๆ 2 อย่างคือ นาฬิกายิงยาสลบ ยิงให้โคโกโร่สลบ และ หูกระต่ายเปลี่ยนเสียง เพื่อเปลี่ยนเสียงเป็นเสียงโคโกโร่แล้วคลี่คลายคดีแทน จึงทำให้เกิดฉายาว่า โคโกโร่นิทรา ขึ้นเพราะเวลาคลี่คลายคดีจะเหมือนกำลังนอนหลับอยู่นั่นเอง
ชินอิจิเมื่ออยู่ในร่างของเด็กจึงต้องกลับไปเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนประถมเทตันใหม่อีกครั้ง และได้รู้จักกับ โยชิดะ อายูมิ, ซึบุรายะ มิซึฮิโกะ, และโคจิมะ เก็นตะเพื่อนร่วมชั้นแล้วได้ก่อตั้งขบวนการนักสืบเยาวชนขึ้นมา
การสืบหาองค์กรชุดดำและยาแก้พิษของโคนันก็ได้ดำเรื่อยมา ได้เกิดคดีต่างๆ และค้นพบบุคคลสำคัญต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพวกชายชุดดำ หรือองค์กรชุดดำมากขึ้น ไฮบาระ ไอหรือ มิยาโนะ ชิโฮ ผู้ประดิษฐ์คิดค้นยา APTX4869 เธอได้ทรยศองค์กร เพราะว่ายิน ได้สังหารพี่สาวของเธอ มิยาโนะ อาเคมิโดยไม่ให้คำอธิบายต่อเธอ เธอจึงถูกควบคุมตัวแล้วขังในห้องก๊าซเพื่อรอคำสั่งประหารชีวิตเท่านั้น เธอคิดว่ายังไรก็คงตายจึงกรอกยาที่เธอประดิษฐ์ขึ้น APTX4869 แล้วกลับเป็นเด็กแล้วออกมาจากช่องทิ้งขยะในห้องขัง แล้วได้มาอยู่บ้านของดร.อากาสะ เพื่อคิดค้นยาถอนพิษของ APTX4869
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เจ็ทเซ็ตเตอร์ หรือ Jetset’er วงนี้ถือว่าอยู่มากับวงการเพลงไทยนานพอประมาณ เติบโตมากับค่ายเล็กๆ ที่มีศิลปินในค่ายอยู่แค่วงเดียว แถมก็เป็นวงดีซะด้วย ก่อนจะเงียบหายเข้ากลีบเมฆไป แล้ววันนึง พวกเขาก็กลับมาอีกครั้งกับค่ายใหญ่
เรามาลองไล่เรียงประวัติศาสตร์ของวงนี้กันเสียหน่อยดีกว่า…
อย่างที่หลายๆ คนก็รู้กันว่า Jetset’er ในปัจจุบันประกอบด้วยสมาชิก 4 คน และมีอัลบั้มรวมทั้งเคยมีผลงานในอัลบั้มอื่นๆ มาแล้วหลายอัลบั้ม แต่จริงๆ แล้วในวันเก่าๆ พวกเขาไม่ได้มีเท่านี้ และไม่ได้ใช้ชื่อนี้
ทุกอย่างเริ่มขึ้นในปี 2541…
Jetset’er เริ่มต้นมาจากการรวมตัวกันของ โอ – ทฤษฎี ศรีม่วง (กีตาร์), เอ็ด – จุมพฎ จรรยหาญ (กลอง), หมู – วรพจน์ วิศรุตนาถ (เบส) ตั้งแต่สมัยที่ทั้ง 3 คนเป็นสมาชิกชุมชนดนตรีสากล ม.ธรรมศาสตร์ ช่วงนั้น ร่วมตั้งวงกับเพื่อนๆรวมทั้งหมด 8 คนในนาม Funk Theory และได้เข้าประกวดดนตรีจนชนะเลิศ Thailand University Music Contest#3 มา หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มเล่นดนตรีเป็นอาชีพ และได้มีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกในวง โอ ได้เข้าไปศึกษาต่อที่สถาบัน SAE ที่พวกเขาได้พบกับผู้ก่อตั้ง ZYD Records เริ่มการแต่งเพลงของและเฟ้นหานักร้องนำ จนในที่สุดก็ได้ ที – พิพิธพล ขำรัตน์ มาเป็นนักร้องนำ
หลัง ที – พิพิธพล เข้ามาเป็นนักร้องนำ ชื่อของวงก็ถูกเปลี่ยนมาเป็น Jetset’er และใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน
Jetset’er ได้ออกอัลบั้มมาแล้วสองชุด Jetset’er : The Album ช่วงต้นปี 2548 กับ ZYD Records เพลงดัง เชื่อในตัวฉัน, ตัวคั่นเวลา, นัวเนีย และ ทฤษฎีใหม่ๆ ปลายปีเดียวกัน Jetset’er ก็ทำเพลงพิเศษออกมา “a day (วันฟ้าเปลี่ยน)” รวมอยู่ในโปรเจ็กต์ a day : album 4 กับนิตยสารอะเดย์
จากนั้น อัลบั้มที่สอง Nude ในสังกัดเดิม ZYD Records ได้วางแผงช่วงประมาณปลายปี 2549 ซึ่งมีเพลงฮิตๆอย่าง ฝ่าไฟแดง, จูบ และ ใจร้าย ที่เข้าไปกระแทกใจหลายๆ คน
แม้ว่าชื่อของ Jetset’er จะเริ่มห่างหายไปจากหน้าปัดวิทยุ แต่ก็ยังคงพอมีผลงานออกมาเป็นระยะๆ แม้จะไม่ได้ออกอัลบั้มใหม่อีกเลย งานที่หลายคนน่าจะจำกันได้ คือ “L.O.V.E.” เพลงที่คัฟเวอร์ผลงานของ คูณสามซูเปอร์แก๊งค์ เพลงนี้อยู่ใน Sanamluang Connects ในสังกัดของ สนามหลวงมิวสิก อีกเพลงคือ “ชายในฝัน” ที่ประกอบในซิทคอมเรื่อง “เนื้อคู่ประตูถัดไป” แล้วก็ต่อเนื่องมาถึง “เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร” เลยเชียว
อีกงานก็คือ ที พิพิธพล นักร้องนำของวง ก็ได้ร้องเพลงดัง “ดีอย่างไร” ในงานอัลบั้ม Lazy Sunday ของ WerkGang
แล้วในที่สุด พวกเขาก็กลับมา เปิดตัวด้วยเพลง “น้ำผึ้งพระจันทร์” พร้อมเอ็มวีน่ารักๆ อาจฟังแล้วนึกถึง “จูบ” นั่นเพราะเพลงนี้ตั้งใจให้คนฟัง remind ถึงเพลงดังกล่าวนั่นเอง มีอีก 1 เพลงที่ทุกคนรู้จักกันอย่างดี “พรหมลิขิต” เพลงประกอบละครวนิดา ที่ทำใหม่โดย โตน Sofa ก่อนจะตามมาด้วยการออก EP พิเศษ สำหรับคนที่คิดถึงงานใหม่ของพวกเขา ซึ่งรวมเอา น้ำผึ้งพระจันทร์ (2 เวอร์ชั่น), พรหมลิขิต และ Interlude ของเพลงใหม่ “คืนนี้” ที่เป็นโรแมนติกของคนเหงาๆ มาให้แฟนๆ ของพวกเขาได้ฟังกัน
พวกเขาก็ปล่อยซิงเกิล “คืนนี้” ออกมาก่อนที่ในวันที่ 13 พ.ค. 2554 อัลบั้มชุดที่สามของพวกเขา นาม “JET’S” จะวางแผงและแถลงข่าวเปิดอัลบั้มไปพร้อมๆ กัน อัลบั้มนี้ ประกอบไปด้วยเพลงดีๆ หลายเพลง จนหลายคนบอกว่า นี่คืออัลบั้มที่ดีที่สุดของ Jetset’er
นอกจาก น้ำผึ้งพระจันทร์ และ คืนนี้ อัลบั้มนี้ยังมีเพลงอย่าง “ยิ้ม” ซิงเกิลที่สาม หรืออย่างเพลง “คนสุดท้าย” ที่ได้เสียงของ หนูนา หนึ่งธิดา โสภณ มาร่วมร้องด้วย และอีกหลายเพลงที่น่าจะมาเป็นเพลงดังได้อีกนับจากวันนี้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)